-www.google.co.th
-student.nu.ac.th
-www.kaentong.com
-nakku.com
-www.livekalasin.com
วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558
วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558
หน่วยการปกครอง
การปกครองส่วนภูมิภาค
การปกครองแบ่งออกเป็น 18 อำเภอ 135 ตำบล 1584 หมู่บ้าน
|
การปกครองส่วนท้องถิ่น
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด 151 แห่ง คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง เทศบาลเมือง 2 แห่ง และเทศบาลตำบล 67 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 81 แห่ง มีรายชื่อดังนี้
- องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์
อำเภอเมืองกาฬสินธุ์
อำเภอกุฉินารายณ์
อำเภอกมลาไสย
อำเภอเขาวง
|
อำเภอคำม่วง
อำเภอฆ้องชัย
อำเภอดอนจาน
อำเภอท่าคันโท
อำเภอนาคู
อำเภอนามน
อำเภอยางตลาด
อำเภอร่องคำ
|
อำเภอสมเด็จ
อำเภอสหัสขันธ์
อำเภอหนองกุงศรี
อำเภอห้วยผึ้ง
อำเภอห้วยเม็ก
|
ประชากรในจังหวัด
- หมายถึงจำนวนประชากรได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
- หมายถึงจำนวนประชากรได้ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน
| อันดับ (ปีล่าสุด) | อำเภอในจังหวัดกาฬสินธุ์ | สิงหาคม พ.ศ. 2558 | พ.ศ. 2557 | พ.ศ. 2556 | พ.ศ. 2555 | พ.ศ. 2554 | พ.ศ. 2553 | พ.ศ. 2552 | พ.ศ. 2551 | |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 | เมืองกาฬสินธุ์ | 146,192 | 146,355 | 146,394 | 146,546 | 146,120 | 146,643 | 146,287 | 146,166 | |
| 2 | ยางตลาด | 129,403 | 129,563 | 129,790 | 130,123 | 129,806 | 129,718 | 129,302 | 129,022 | |
| 3 | กุฉินารายณ์ | 101,481 | 101,399 | 101,398 | 101,490 | 101,169 | 101,493 | 101,410 | 101,184 | |
| 4 | กมลาไสย | 69,763 | 69,858 | 69,944 | 70,253 | 70,018 | 69,946 | 69,700 | 69,475 | |
| 5 | หนองกุงศรี | 66,726 | 66,764 | 66,595 | 66,675 | 66,352 | 66,204 | 65,959 | 65,671 | |
| 6 | สมเด็จ | 62,347 | 62,317 | 62,170 | 62,045 | 61,894 | 61,928 | 61,829 | 62,117 | |
| 7 | ห้วยเม็ก | 51,215 | 51,203 | 51,030 | 51,025 | 50,734 | 50,605 | 50,435 | 50,270 | |
| 8 | คำม่วง | 48,753 | 48,728 | 48,572 | 48,636 | 48,421 | 48,377 | 48,176 | 48,033 | |
| 9 | สหัสขันธ์ | 42,800 | 42,783 | 42,616 | 42,621 | 42,386 | 42,275 | 42,069 | 41,879 | |
| 10 | ท่าคันโท | 37,756 | 37,734 | 37,583 | 37,588 | 37,500 | 37,542 | 37,376 | 37,214 | |
| 11 | นามน | 36,615 | 36,255 | 36,041 | 35,968 | 35,796 | 35,887 | 35,750 | 35,584 | |
| 12 | เขาวง | 34,609 | 34,698 | 34,847 | 34,956 | 34,912 | 35,110 | 35,138 | 35,035 | |
| 13 | นาคู | 31,335 | 31,365 | 31,340 | 31,378 | 31,301 | 31,431 | 31,513 | 31,515 | |
| 14 | ห้วยผึ้ง | 30,596 | 30,642 | 30,594 | 30,666 | 30,512 | 30,651 | 30,667 | 30,608 | |
| 15 | ฆ้องชัย | 27,120 | 27,183 | 27,246 | 27,288 | 27,199 | 27,225 | 27,168 | 27,132 | |
| 16 | ดอนจาน | 25,881 | 25,888 | 25,784 | 25,823 | 25,738 | 25,743 | 25,696 | 25,720 | |
| 17 | สามชัย | 25,655 | 25,656 | 25,607 | 25,513 | 25,403 | 25,374 | 25,292 | 25,622 | |
| 18 | ร่องคำ | 16,462 | 16,516 | 16,479 | 16,490 | 16,394 | 16,426 | 16,391 | 16,336 | |
| — | รวม | 984,709 | 984,907 | 984,030 | 985,084 | 981,655 | 982,578 | 980,158 | 978,583 |
บุคคลที่มีชื่อเสียง
เจ้าเมืองสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
- พระยาชัยสุนทร (เจ้าโสมพะมิต)เจ้าเมืองกาฬสินธุ์องค์ที่ 1
- พระยาชัยสุนทร (เก ณ กาฬสินธุ์) เป็นเจ้าเมืองกาฬสินธุ์องค์ที่ 11
- พระธิเบศรวงศา (กอ) เจ้าเมืองกุดสิมนารายณ์ คนแรก เมืองบริวารของหัวเมืองกาฬสินธุ์
- พระราษฏรบริหาร (เกษ) เจ้าเมืองกระมาลาไสย (กมลาไสย) คนแรก เมืองบริวารของหัวเมืองกาฬสินธุ์
- พระพิชัยอุดมเดช เจ้าเมืองภูแล่นช้าง คนแรก เมืองบริวารของหัวเมืองกาฬสินธุ์
- พระสุวรรณภักดี เจ้าเมืองท่าขอนยาง คนแรก เมืองบริวารของหัวเมืองกาฬสินธุ์
- พระศรีสุวรรณ เจ้าเมืองแซงบาดาล คนแรก เมืองบริวารของหัวเมืองกาฬสินธุ์
- พระประชาชนบาล เจ้าเมืองหัสขันธ์ คนแรก เมืองบริวารของหัวเมืองกาฬสินธุ์
- พระปทุมวิเศษ เจ้าเมืองกันทรวิชัย คนแรก เมืองบริวารของหัวเมืองกาฬสินธุ์
อุทยาน
- จังหวัดกาฬสินธุ์มีพื่นที่ป่าทั้งหมดประมาณ ๑,๑๕๐,๐๐๐ ไร่ คิดเป็นร้อยละ ๒๗ ของพื่นที่ในจังหวัด
- อุทยานแห่งชาติภูพาน ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของป่าสงวน ฯ ป่าแก้งกะอาม และบางส่วนของป่าดงห้วยผา อยู่ในเขตอำเภอสมเด็จ และอำเภอห้วยผึ้ง มีพื้นที่ในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ ประมาณ ๕๗,๕๐๐ ไร่ ประกาศเป็นอุทยาน ฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ และปี พ.ศ. ๒๕๒๕
- อุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก ครอบคลุมพื้นที่ อ.คำม่วง อ.สมเด็จ บางส่วน
- วนอุทยานภูพระ อยู่ในตำบลนาตาล อำเภอท่าคันโท มีพื้นที่ประมาณ ๖,๐๐๐ ไร่ อยู่ในเขตป่าสงวน ฯ ป่าดงมูล
- วนอุทยานภูแฝก อยู่ที่บ้านน้ำคำ ตำบลภูแล่นช้าง กิ่งอำเภอนาคู มีพื้นที่ประมาณ ๔,๐๐๐ ไร่ อยู่ในเขตป่าสงวน ฯ ป่าดงห้วยผา
- วนอุทยานภูผาวัว อยู่ในตำบลกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ มีพื้นที่ประมาณ ๔,๐๐๐ ไร่ อยู่ในเขตป่าสงวน ฯ ป่าดงด่านแย้
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน อยู่ในเขตอำเภอกุฉินารายณ์ และอำเภอเขาวง มีพื้นที่ประมาณ ๒๘,๐๐๐ ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ป่าสงวน ฯ ป่าดงด่านแย้ และป่าตอห่ม
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่าลำปาว อยู่ในเขตอำเภอสหัสขันธ์ อำเภอหนองกุงศรี อำเภอท่าคันโท และอำเภอเมือง ฯ มีพื้นที่ประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ ไร่เศษ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่น้ำของเขื่อนลำปาว
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่าผาน้ำทิพย์ อยู่ในเขตอำเภอกุฉินารายณ์ มีพื้นที่ประมาณ ๓,๐๐๐ ไร่ อยู่ในเขตป่าสงวน ฯ ป่าดงบังอี แปลงที่ ๒
- ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงระแนง อยู่ในเขตอำเภอยาวตลาด และอำเภอห้วยเม็ก มีพื้นที่ประมาณ ๖๙,๕๐๐ ไร่ ประกาศเป็นป่าสงวน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙
- ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงแม่แฝด อยู่ในเขตอำเภอนามน อำเภอห้วยผึ้ง อำเภอกุฉินารายณ์และอำเภอเมือง ฯ มีพื้นที่ประมาณ ๑๑๙,๕๐๐ ไร่ ประกาศเป็นป่าสงวน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔
- ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงบังอี่แปลงที่ ๑ อยู่ในเขตอำเภอกุฉินารายณ์ มีพื้นที่ประมาณ ๑๒,๐๐๐ ไร่ ประกาศเป็นป่าสงวน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๑
- ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงหมู อยู่ในเขตอำเภอเขาวง และอำเภอนาดู มีพื้นที่ประมาณ ๘๘,๐๐๐ ไร่ ประกาศเป็นป่าสงวน ฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘
- ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงห้วยผา อยู่ในเขตอำเภอห้วยผึ้ง และกิ่งอำเภอนาดู มีพื้นที่ประมาณ ๑๑๐,๕๐๐ ไร่ ประกาศเป็นป่าสงวนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘
- ป่าสงวนแห่งชาติ ป่านาจาร - ดงขวาง อยู่ในเขตอำเภอสมเด็จ อำเภอสหัสขันธ์ และอำเภอเมือง ฯ มีพื้นที่ประมาณ ๓๗,๕๐๐ ไร่ ประกาศเป็นป่าสงวน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖
- ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าโคกกลางหมื่น อยู่ในเขตอำเภอเมือง ฯ มีพื้นที่ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ไร่ ประกาศเป็นป่าสงวน ฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙
- ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงนามน อยู่ในเขตอำเภอกมลาไสย อำเภอร่องคำ และอำเภอเมือง ฯ มีพื้นที่ประมาณ ๑๒,๕๐๐ ไร่ ประกาศเป็นป่าสงวน ฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙
- ป่าสงวนแห่งชาติ ป่ากังกะอวม อยู่ในเขตอำเภอสมเด็จ มีพื้นที่ประมาณ ๘๘,๕๐๐ ไร่ ประกาศเป็นป่าสงวน ฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙
- ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงด่านแย้ อยู่ในเขตอำเภอคำม่วง กิ่งอำเภอสามชัย และอำเภอเขาวง มีพื้นที่ประมาณ ๗๖,๕๐๐ ไร่ ประกาศเป็นป่าสงวน ฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐
- ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าภูพาน อยู่ในเขตอำเภอคำม่วง กิ่งอำเภอสามชัย และอำเภอสมเด็จ มีพื้นที่ประมาณ ๒๑๕,๐๐๐ ไร่ ประกาศเป็นป่าสงวน ฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๑
- ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงมูล อยู่ในเขตอำเภอห้วยเม็ก อำเภอหนองกุงศรี และอำเภอท่าคันโท มีพื้นที่ประมาณ ๒๕๙,๐๐๐ ไร่ ประกาศเป็นป่าสงวน ฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘
- ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงบังอี่ แปลงที่ ๒ อยู่ในเขตอำเภอกุฉินารายณ์ มีพื้นที่ประมาณ ๓,๐๐๐ ไร่ ประกาศเป็นป่าสงวน ฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗
- สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่า มีอยู่แห่งเดียวคือ สถานี ฯ ลำปาว มีพื้นที่ประมาณ ๑,๕๐๐ ไร่ อยู่ในเขตอำเภอเมืองกาฬสินธุ์
- ป่าชุมชน คือ กิจการของป่าที่ประชาชนมีส่วนร่วม เป็นแนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ อีกรูปแบบหนึ่ง ในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ มีป่าชุมชนอยู่ ๑๕ หมู่บ้าน เช่น ป่าชุมชนบ้านหนองผ้าอ้อม และป่าชุมชนบ้านสูงเนิน เป็นต้น

เทศกาลและงานประเพณี
งานมหกรรมโปงลาง แพรวาและงานกาชาด
งานมหกรรมโปงลาง แพรวาและงานกาชาดจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นงานประเพณีท้องถิ่นของจังหวัดที่จัดเป็นประจำทุกปี เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยชาวต่างประเทศต่างให้ความสนใจกับงานเทศกาลนี้ โดยในแต่ละปีจะเดินทางมาเที่ยวชมและเลือกซื้อสินค้าพื้นเมืองเลื่องชื่อของจังหวัดไปปีละเป็นจำนวนมาก เป็นการส่งเสริมรายได้อุตสาหกรรมท้องถิ่นอีกทางหนึ่งด้วย วัตถุประสงค์หลักของงานนี้มุ่งเผยแพร่ ฟื้นฟู อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนเผยแพร่ความรู้ด้านเทคโนโลยีและผลงานของส่วนราชการทั้งภาครัฐและเอกชนของจังหวัด แก่ประชาชนผู้สนใจทั่วไป จุดเน้นสำคัญของงานคือขบวนแห่ในพิธีเปิดงานที่มโหฬารที่แสดงให้เห็นถึง ประเพณีศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สร้างขึ้นจากคำขวัญของจังหวัดกาฬสินธุ์ที่ว่า "โปงลางเลิศล้ำ วัฒนธรรม ผู้ไทย ผ้า
ไหมแพรวา ผาเสวยภูพาน มหาธารลำปาว ไดโนเสาร์สัตว์โลกล้านปี" ที่แสดงถึงความรักสามัคคี ความพร้อมเพรียง การรวมใจเป็นหนึ่งของผู้คนที่จะช่วยกันจรรโลง เชิดชูเกียรติ ชื่อเสียง และเอกลักษณ์ของเมืองกาฬสินธุ์ให้เป็นที่รู้จักสืบไป
ไหมแพรวา ผาเสวยภูพาน มหาธารลำปาว ไดโนเสาร์สัตว์โลกล้านปี" ที่แสดงถึงความรักสามัคคี ความพร้อมเพรียง การรวมใจเป็นหนึ่งของผู้คนที่จะช่วยกันจรรโลง เชิดชูเกียรติ ชื่อเสียง และเอกลักษณ์ของเมืองกาฬสินธุ์ให้เป็นที่รู้จักสืบไป
โปงลาง ถือได้ว่าเป็นเครื่องดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดกาฬสินธุ์ ทั้งนี้เพราะโปงลางได้เปลี่ยนสภาพจากขอลอหรือเกราะลอ มาเป็นเครื่องดนตรีธรรมชาติประเภทเครื่องตีไม้ โดยปราชญ์ชาวบ้านของจังหวัดกาฬสินธุ์คือ นายเปลื้อง ฉายรัศมี ได้พัฒนาจนกลายมาเป็นเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่ง บรรเลงร่วมกับเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสานชิ้นอื่น ๆ จนเกิดเป็นวงดนตรีโปงลาง มีการคิดท่าฟ้อนประกอบลายโปงลางรวมทั้งการแสดงต่าง ๆ ที่ดัดแปลงมาจากวิถีชีวิตธรรมชาติของคนชนบทอีสาน จนเป็นที่รู้จักและยอมรับกันโดยทั่วไป
เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๓ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จทรงโปงลางที่วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์ ทรงร่วมวงโปงลาง บรรเลงลายเต้ยโขงและลายลมพัดพร้าว ที่พลิ้วหวานจับใจ จังหวัดกาฬสินธุ์จึงถือเอาวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็นวันเริ่มงานมหกรรมโปงลาง แพรวาและกาชาดจังหวัดกาฬสินธุ์สืบต่อกันมาสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดในฐานะผู้รับผิดชอบงานด้านศิลปะและวัฒนธรรม กำหนดให้มีการประกวดวงดนตรีและการแสดงโปงลาง โดยแบ่งประเภทวงออกเป็น ๓ ระดับ คือ ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และระดับประชาชน โดยจัดให้มีการประกวดในช่วงเวลาของงานเทศกาลประจำปีที่ยิ่งใหญ่นี้คือ งานมหกรรมประกวดดนตรีโปงลาง งานเทศกาลผ้าไหมแพรวา ที่เป็นสุดยอดของดีเอกลักษณ์ของจังหวัดกาฬสินธุ์ อีกทั้งยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานถ้วยรางวัลชนะเลิศการประกวดดนตรีโปงลางระดับประชาชน ถ้วยรางวัลชนะเลิศระดับมัธยมศึกษา พระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์อัครราชกุมารี และถ้วยรางวัลชนะเลิศระดับประถมศึกษาจากเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ จากปี พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้นมา นับว่าเป็นปีทองของดนตรี
โปงลางของจังหวัดกาฬสินธุ์เพราะดนตรีโปงลางของจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้สร้างชื่อเสียงให้แก่จังหวัดและประเทศไทย โดยได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดดนตรีพื้นเมืองนานาชาติ ระดับมัธยมศึกษา ครั้งที่ ๑ ณ ประเทศตุรกี จนเป็นผลให้การแสดงดนตรีโปงลางของจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป


งานมหกรรมวิจิตรแพรวาราชินีแห่งไหม
งานประเพณีบุญบั่งไฟล้าน(อำเภอท่าคันโท)
งานนมัสการพระธาตุยาคู
บุญคูณคาน
งานมหกรรมวิจิตรแพรวาราชินีแห่งไหม จัดขึ้นประมาณวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี ณ โรงแรมริมปาว เพื่อเป็นการเทอดพระเกียรติแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ได้ทรงโปรดเกล้าฯ สนับสนุนส่งเสริมและรับงานการทอผ้าไหมแพรวาของชาวผู้ไทยเข้าไว้ในโครงการศิลปาชีพในพระบรมราชินูปถัมภ์ จนทำให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วไป ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างอาชีพและรายได้ให้กับชาวผู้ไทยอีกด้วย
เมื่อปีพุทธศักราช 2462 ได้มีคาราวานอพยพประชาชน มาจากอำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม โดยการนำของนายพรม วงค์ชารี และนายจารย์ทัน อุปจันโท อพยพมาจาก อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม เคลื่อนย้ายมาร่วมกันก่อตั้งที่อยู่อาศัย ซึ่งได้สถานที่ตั้งบริเวณป่ากุงเป็นชัยภูมิที่ตั้ง หมู่บ้าน เป็นภูมิศาสตร์ที่มีลำหนองแสนล้อมรอบ เหมาะสำหรับการก่อตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยและพ้นที่ทำการเกษตรบริเวณที่ตั้ง หนองกุงศรีมีหนองน้ำและป่ากุงล้อมรอบชาวบ้านจึงเรียกว่า เรียกว่า และต่อมาในหมู่บ้านหนองกุงได้จัดการประกวดนางงามประจำหมู่บ้าน และคนที่ได้ตำแหน่งคือ นางสาวบุญสี จึงได้จัดตั้งชื่อหมู่บ้านว่าบ้านหนองกุงศรี ซึ่งเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กจำนวน 15 ครัวเรือน ขึ้นตรงกับอำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้ประกาศตั้งเป็น กิ่งอำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2516 และต่อมาได้มีการจัดตั้งศาลเจ้ากุงศรีขึ้น ต่อมาได้มีการจัดงานบวงสรวงเจ้าปู่กุงศรีร่มของดีถิ่นดงมูล ขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 เป็นต้นมา โดยมีนายวรวิทย์ เดชบุรัมย์ วัฒนธรรมอำเภอหนองกุงศรีและคณะกรรมสภาวัฒนธรรมอำเภอหนองกุงศรี เป็นผู้คิดริเริ่มการจัดงาน งานประเพณีบวงสรวงเจ้าปู่กุงศรี และในวันแรกของงาน และในงานมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์โอท๊อป การประกวดธิดาหนองกุงศรี ร้องเพลง ฯลฯ และมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการรักษาซึ่งวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม

งานประเพณีบุญบั่งไฟล้าน(อำเภอท่าคันโท)
ประเพณีบุญบั้งไฟ บุญบั้งไฟ เป็นหนึ่งในฮีตสิบสองเดือนของชาวอีสาน นิยมทำกันในเดือน 6 หรือเดือน 7 อันเป็นช่วงฤดูฝนเข้าสู่การทำนา ตกกล้า หว่าน ไถ เพื่อเป็นการบูชาแถนขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล เหมือนกับการแห่นางแมวของคนภาคกลาง ในสองพิธีกรรมที่อยู่คนละภาคนี้ มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องของสัญลักษณ์ที่ใช้อันส่อไปทางเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้ไม้มาแกะสลักเป็นอวัยวะเพศชายเรียกว่า "บักแบ้น" หรือ "ปลัดขิก" ในอีสานหรือ "ขุนเพ็ด" ในภาคกลางเข้าร่วมขบวนแห่ ทั้งยังมีการร้องเซิ้งด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับอวัยวะเพศและเพศสัมพันธ์ สัญลักษณ์นี้เป็นเครื่องหมายของความสัมพันธ์ระหว่าง ฟ้ากับดิน หญิงกับชาย ที่เป็นพลังก่อกำเนิดชีวิต และเป็นพลังแห่งความอุดมสมบูรณ์ จึงมีความสัมพันธ์กับการขอฝน ซึ่งเป็นที่มาของพลังแห่งการเติบโตของพืช และด้วยเหตุที่อวัยวะเพศ และเพศสัมพันธ์เป็นสัญลักษณ์สำคัญของงานบุญ จึงถือว่างานบุญบั้งไฟเป็น งานบุญของพระยามาร ซึ่งจัดแข่งกับงานบุญของพระพุทธเจ้า บุญบั้งไฟมีตำนานเล่าขานมานาน จากนิทานพื้นบ้านเรื่องผาแดงนางไอ่ เรื่องพระยาคันคาก ล้วนแต่กล่าวถึงการจุดบั้งไฟเพื่อให้แถน (เทวดา) ได้บันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาล ถือเป็นประเพณีอันสำคัญที่จะละเลยมิได้ เพราะมีความเชื่อว่า หากหมู่บ้านใดไม่จัดงานบุญบั้งไฟก็อาจจะก่อให้เกิดภัยภิบัติแก่ผู้คนในชุมชน งานบุญบั้งไฟเป็นงานใหญ่ ลงทุนสูง การจัดงานจะต้องเป็นไปตามการตัดสินใจของชุมชน หากปีใดเศรษฐกิจในชุมชนฝืดเคืองอาจจะต้องงดจัดงาน ซึ่งต้องไปทำพิธีขอเลื่อนการจัดที่ศาลปู่ตา (ศาลผีบรรพบุรุษหรือเทพารักษ์) ของหมู่บ้าน ความจริงแม้จะจัดหรือไม่ก็ต้องมีการไปกระทำพิธีเซ่นไหว้ที่ศาลปู่ตาอยู่ดี

งานนมัสการพระธาตุยาคู
พระธาตุยาคู เดิมเรียกว่า "พระธาตุใหญ่" เป็นพระสถูปสมัยทวารดี ราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 เจดีย์ได้เก่าทรุดโทรมปรักหักพังไปตามกาลเวลาเพราะขาดการทะนุบำรุง ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้สร้างเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม ก่ออิฐถือปูนซ้อนทับฐานเดิม และในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ได้มีการสร้างต่อเติมส่วนยอดให้สูงขึ้นอีก จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2510-2522 กรมศิลปากรได้ทำการขุดแต่งและบูรณะเจดีย์องค์นี้ รวมทั้งได้จดทะเบียนเป็นโบราณสถาน
พระธาตุยาคู ตั้งอยู่ที่กลางทุ่งนา ทางทิศเหนือของบ้านเสนา อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ห่างจากกาฬสินธุ์ประมาณ 19 กิโลเมตร
เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองฟ้าแดดสงยาง (เมืองโบราณ สมัยขอม ปัจจุบันเหลือแต่ซากอิฐปูนดิน) ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นพระธาตุที่บรรจุอัฐิของพระเถระผู้ใหญ่ที่ชาวเมืองเคารพนับถือ จึงเรียกกันว่า พระธาตุยาคู ("ญาคู" ภาษาอีสาน หมายถึง พระสงฆ์ ผู้ใหญ่ในวัด) และเนื่องด้วยเป็นสถานที่แห่งเดียวในเมืองฟ้าแดดที่ไม่ถูกทำลายโดยเมืองเชียงโสมซึ่งเป็นฝ่ายชนะสงคราม จึงนับเป็นโบรารณสถานที่ยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์
มีหลักฐานว่าแต่ละส่วนของพระธาตุถูกสร้างขึ้นใน 3 สมัย โดยส่วนฐานรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมสร้างในสมัยทวารวดี ถัดขึ้นมาเป็นส่วนฐานทรงแปดเหลี่ยมสร้างในสมัยอยุธยา ส่วนองค์ระฆังและส่วนยอดสร้างต่อเติมในสมัยรัตนโกสินทร์ รอบๆ องค์พระธาตุพบใบเสมาแกะสลักภาพนูนต่ำเรื่องพุทธประวัติ
ในเดือนพฤษภาคมของทุกปี ชาวบ้านจะจัดให้มีงานประเพณีบุญบั้งไฟเพื่อเป็นการขอฝนและนำความร่มเย็นมาสู่หมู่บ้าน

บุญคูณคาน
ประเพณีบุณคูณลานเป็นวัฒนธรรม น้อมรำลึกถึงพระคุณของพระแม่โพสพ หรือบุญคุณของข้าวที่มีต่อมนุษย์ และเพื่อความเป็นสิริมงคลของเกษตรกร
บุญคูณลาน เป็นประเพณีชาวไทอีสานที่ได้สืบทอดกันมา เป็นการทำบุญขวัญข้าวที่นวดเสร็จแล้วและกองไว้ในลานข้าว โดยมักจะทำในเดือนยี่ เหตุที่มีการทำบุญนี้เนื่องจากผู้ใดที่ทำนาได้ข้าวมาก ๆ ก่อนหาบหรือขนข้าวมาใส่ยุ้งฉางก็อยากทำบุญกุศลเพื่อเป็นสิริมงคลให้เพิ่มความมั่งมีศรีสุขแก่ตน และครอบครัวสืบไป




สถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อน
พระยาชัยสุนทร(เจ้าโสมพะมิต)
พระยาชัยสุนทร (เก)หรือ พระยาชัยสุนทร (เก ณ กาฬสินธุ์) เป็นเจ้าเมืองกาฬสินธุ์องค์ที่ 11 เป็นบุตรของท้าวฮวด มีเชื้อสายมาจากท้าวเมืองแสนฆ้อนโปง (อนุชาเจ้าโสมพะมิต
พระยาชัยสุนทร (เก ณ กาฬสินธุ์) ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานนามสกุล กาฬสินธุ์ ท่านจึงเป็นต้นตระกลู ณ กาฬสินธุ์
พระยาชัยสุนทร (เก) มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์กรุงสยามมาก โดยเฉพาะรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งพระองค์เสด็จประพาสประเทศยุโรปทั้ง 2 ครั้ง พระยาชัยสุนทร (เก) ได้นำบุตร ภริยาเข้าเฝ้า ดื่มนำพิพัฒสัตยาเพื่อส่งเสด็จ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดในความจงรักภัคดีของพระยาชัยสุนทร (เก) มาก ทรงตรัสว่าเป็นเจ้าเมืองรูปงาม ผิวขาว ร่างบอบบาง ทรงโปรดเรียกอ้ายพระยาน้อย ซึ่งเป็นนามที่ทำให้ พระยาชัยสุนทร (เก) ปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณมาก พระยาชัยสุนทร (เก) ได้เล่าสู่ลูกหลานฟังและอบรมสั่งสอนให้ลูกหลานทุกคนสำนึกใน พระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้ากรุงสยามทุกพระองค์ หากลูกหลานคนใด ได้มีโอกาสรับราชการ ขอให้ลูกหลานทุกคน ได้ปฏิบัติหน้าที่ของคนไทยด้วยความจงรักภัคดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ อย่าได้ฉ้อราษฎร์ บังหลวงเป็นอันขาด ขอให้ทุกคนถือว่า คนกาฬสินธุ์คือญาติพี่น้องของเราทุกคน
พระยาชัยสุนทร (เก) ได้ไปตรวจราชการที่เมืองภูแล่นช้าง ได้เห็นพระพุทธรูปซึ่งหล่อด้วยทองสำริด ที่วัดนาขาม ซึ่งเป็นวัดร้าง ชาวบ้านไม่ได้เอาใจไส่ ปล่อยให้โบสถ์พัง ดินถมพระพุทธรูปจมมิดฐาน ท่านจึงได้นำมาสู่เมืองกาฬสินธุ์ ปัจจุบัน ประดิษฐานอยู่ที่วัดกลาง อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งชาวเมืองกาฬสินธุ์เรียกขานนามว่า หลวงพ่อองค์ดำ



พระอารามหลวง ชั้นตรี สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2387 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2480 และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 เป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่บนพื้นที่ 7 ไร่ 2 งาน 55 ตารางวา เป็นวัดที่มีเฉพาะพื้นที่ตั้งวัดเท่านั้น ไม่มีธรณีสงฆ์ หรือ กัลปนา
ปัจจุบันวัดกลางกาฬสินธุ์ ตั้งอยู่เลขที่ 47 ถนนกาฬสินธุ์ ตำบลกาฬสินธุ์ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์



วัดป่ามัสฌิมาวาส
วัดป่ามัชฌิมวาส อยู่ที่ บ้านดงเมือง ต.ลำพาน อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ เริ่มก่อตั้ง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๔ โดย พระอาจารย์ ทุ่ม ปิยธโร จากวัดบรมนิวาสกรุงเทพมหานคร ท่านเป็น ชาวอำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น ได้มาเริ่มสร้าง วัดป่ามัชฌิมาวาส ขึ้น หลังจากนั้นท่านก็ได้เดินทาง ไปจำพรรษา และสร้างวัดใหม่ที่อำเภอชนบท ต่อมาได้มีเจ้าอาวาสอีกหลายองค์ จนประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๐ พระอาจารย์ เมือง พลวฑฺโฒ เป็นเจ้าอาวาส จนถึงปัจจุบัน
ประวัติวัดป่ามัชฌิมวาสแห่งนี้ สร้างขึ้นราวปี 2474 มีพระเณรจำพรรษอยู่ร่วม 30 รูป ปัจจุบัน มีหลวงพ่อเมือง พลวัฑโฒ พระเกจิสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นเจ้าอาวาส ภายในวัดมีพื้นที่กว้างขวาง อุดมด้วยแมกไม้ที่ร่มครึ้มทั่วบริเวณวัดแล้ว ยังมี "อาจารย์ใหญ่" หรือซากศพมนุษย์ ภายในศาลาอัศวินวิจิตร หรือพิพิธภัณฑ์ศพ ไว้ให้ศึกษาสัจธรรมชีวิต


เขื่อนลำปาว
เขื่อนลำปาว เป็นเขื่อนดิน อยู่ในเขตอำเภอสหัสขันธ์, อำเภอคำม่วง, อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ อยู่ห่างจากจังหวัดกาฬสินธุ์ประมาณ 36 กิโลเมตร
เขื่อนลำปาวสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2511 ปิดกั้นลำน้ำปาวและห้วยยางที่บ้านหนองสองห้อง ทำให้เกิดเป็นอ่างเก็บน้ำแฝดทางด้านเหนือเขื่อน จึงได้ขุดร่องเชื่อมระหว่างอ่างทั้งสอง สร้างขึ้นเพื่อบรรเทาอุทกภัยและเพื่อการเกษตรโดยเฉพาะ
เขื่อนลำปาวมีความสูงจากท้องน้ำ 33 เมตร สันเขื่อนยาว 7.8 กิโลเมตร สามารถกักเก็บน้ำได้ 1,980 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนประตูระบายน้ำ เป็นแบบเปิด ไม่มีประตูปิดกั้นให้น้ำใหลตลอดเวลา(ใหลเฉพาะช่วงฤดูฝน) ปัจจุบัน เขื่อนลำปาวเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา มีสถานที่พักผ่อนหย่อยใจ ได้แก่หาดดอกเกด ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสวรรค์ชายหาดของคนอีสาน






สวนสะออน ตั้งอยู่ใกล้กับ เขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุิ์ เป็นสถานีศึกษาธรรมชาติ และ สัตว์ป่าลำปาว (สวนสะออน) เป็นสวนป่าธรรมชาติอยู่ทางทิศเหนือของเขื่อนลำปาว มีเนื้อที่ประมาณ 1420 ไร่ สร้างขึ้นเพื่อคุ้มครองสัตว์ป่าและธรรมชาติ มีสัตว์ป่าหลายชนิด เช่น วัวแดง อยู่ตามธรรมชาติเป็นฝูงใหญ่





หาดดอกเกด
สถานที่ตั้ง ทิศตะวันออกของเรือนรับรองโครงการลำปาวบน อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์
หาดดอกเกด อยู่ ณ ริมฝั่งเขื่อนลำปาว เป็นหาดเนินดินลดหลั่นลงจรดถึงเขื่อน มีบริเวณกว้างขวางพอสมควร ได้รับการปรับปรุงให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจโดยจัดศาลาพักร้อนเถียงนาน้อย ซุ้มดอกเห็ด แวดล้อมไปด้วยสวนหย่อม ปลูกไม้ดอกไม้ ประดับสวยงาม ร่มรื่นดี เหตุที่ได้ชื่อ "หาดดอกเกด" ก็เพราะมีต้น "การะเกด" ซึ่งเป็นไม้ พื้นเมืองปลูกปะปนอยู่กับต้นไม้อื่นเป็นกลุ่ม ๆ เมื่อเวลาออกดอกจะส่งกลิ่นหอมอบอวลชวนชื่นใจยิ่งนัก ที่หาด แห่งนี้ในวันสุดสัปดาห์ จะมีนักท่องเที่ยวทั้งใกล้และไกล เดินทาง ไปพักผ่อนหย่อนใจเป็น จำนวนมาก และที่นี่มีแม่ค้าจัดจำหน่าย อาหารและเครื่องดื่มไว้คอย ต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี นอกจากนี้ยังมีเรือให้เช่าชมทัศนีย ภาพอันสวยงามในทะเลสาบ แห่งนี้อีกด้วย นับว่าหาดดอกเกดเป็น สถานที่ท่องเที่ยวและ พักผ่อนหย่อนใจที่สวยงามแห่งหนึ่งของเมือง กาฬสินธุ์
สิ่งดึงดูดใจ
เป็นบริเวณที่ได้รับการปรับปรุงให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ โดยจัดให้มีศาลาที่พักซุ้มดอกเห็ด แวดล้อมไปด้วยสวนหย่อม ปลูกพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับรอบบริเวณปลูกต้นการะเกดหรือที่ชาวบ้านเรียก "ต้นดอกเกด" ที่เป็นไม้พื้นเมืองปะปนกับไม้อื่นเป็นกลุ่ม ๆ เวลาออกดอกจะส่งกลิ่นหอมอบอวนชื่นใจทั่วบริเวณ


สะพานเทพสุดา
"สะพานเทพสุดา" เป็นสะพานข้ามเขื่อนลำปาว ที่ได้รับพระราชทานชื่อจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2549 งบประมาณ 498 ล้านบาท จากบริเวณแหลมโนนบุรี อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และตำบลหนองบัว อำเภอกรุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ ขนาด 2 ช่องจราจร ความยาว 2,040 เมตร เป็นสะพานข้ามน้ำจืดที่ยาวที่สุดในประเทศ
ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้กล่าวอีกว่า ผลประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการหลัก ๆ คือ สามารถลดระยะทางในการคมนาคมขนส่งผลผลิตทางการเกษตรทางฝั่งตะวันตก อำเภอหนองกุงศรี อำเภอท่าคันโท ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ฝั่งตะวันออก อำเภอสหัสขันธ์ อำเภอเมือง อำเภอสมเด็จ อำเภอกุฉินารายณ์ ได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น การสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการท่องเที่ยวให้บริเวณอ่างเก็บน้ำลำปาวเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และจัดกิจกรรมเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญพิพิธภัณฑ์สิรินธร อุทยานไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าวและยังเป็นทางเลือกเพื่อเดินทางเข้าสู่ถนนสาย East West Corridor ได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนั้น ยังเป็นการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจ สังคม พร้อมทั้ง พัฒนาเมืองอันเป็นผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียงดีขึ้น


พิพิธภัณฑ์สิรินธร
ตั้งอยู่ที่เชิงภูกุ้มข้าว ต.โนนบุรี อำเภอสหัสขันธ์ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดกาฬสินธุ์ไปทางทิศเหนือระยะทางประมาณ 30กิโลเมตร สามารถเดินทางโดยใช้ทางหลวงหมายเลข 227 ( กาฬสินธุ์-สหัสขันธ์-คำม่วง-วังสามหมอ-พังโคน) ก่อนถึงตัวอำเภอสหัสขันธ์ประมาณ 1 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าสู่วัดสักกะวันตรงข้างโรงเรียนสหัสขันธ์ศึกษา เป็นระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ถูกค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2537 โดยพระครูวิจิตรสหัสคุณ (พระญาณวิศาลเถร รองเจ้าคณะจังหวัดในปัจจุบัน) และ ได้เริ่มทำการขุดค้นอย่างเป็นระบบ โดยคณะสำรวจไดโนเสาร์จากกรมทรัพยากรธรณี ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2537 พบว่า ภูกุ้มข้าว ตำบลโนนบุรี อำเภอสหัสขันธ์ เป็นแหล่งไดโนเสาร์กินพืชที่สมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย ได้มาขุดสำรวจจนถึงเดือนตุลาคม 2538 พบกระดูกไดโนเสาร์กินพืชมากกว่า 7 ตัว มีกระดูกมากกว่า 700 ชิ้น เป็นกลุ่มของกระดูกส่วนขา สะโพก ซี่โครง คอ และหาง นอกจากนี้ยังพบฟันของไดโนเสาร์ทั้งกินพืช และกินเนื้ออีกอย่างละ 2 ชนิด จากลักษณะของกระดูกพบว่าเป็นไดโนเสาร์กินพืชสกุลภูเวียง (Phuwiangosaurus sirindhornae ) 1 ชนิด และเป็นไดโนเสาร์กินพืชชนิดใหม่อีก 1 ชนิด คาดว่าอาจเป็นไดโนเสาร์สกุลและชนิดใหม่ของโลก ภายในเวลาเพียง 3 เดือน ซึ่งซากไดโนเสาร์นั้นมีขนาดใหญ่มีน้ำหนักและมีจำนวนมาก ทางฝ่ายโบราณชีววิทยา จึงได้จัดตั้งโครงการศูนย์วิจัยไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าวขึ้นในปี พ.ศ.2538
พิพิธภัณฑ์สิรินธร จังหวัดกาฬสินธุ์ เดิมคือศูนย์วิจัยไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติงานศึกษาวิจัย อนุรักษ์เก็บรวบรวมตัวอย่างอ้างอิงซากไดโนเสาร์ และ สัตว์ร่วมสมัยและนำข้อมูลเหล่านี้ไปเผยแพร่แก่นักท่องเที่ยวในรูปของพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยว ปีละกว่า 300,000 คน





พระธาตุยาคู
ประวัติความเป็นมา พระธาตุยาคู พระธาตุยาคู หรือ พระธาตุใหญ่ เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฟ้าแดดสงยาง ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมก่อด้วยอิฐปรากฏการก่อสร้าง 3 สมัยด้วยกันคือ ส่วนฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุม มีบันไดทางขึ้น 4 ทิศ มีปูนปั้นประดับสร้างในสมัยทวารวดี ถัดขึ้นมาเป็นฐานรูปแปดเหลี่ยมซึ่งสร้างซ้อนทับบนฐานเดิมเป็นรูปแบบเจดีย์ในสมัยอยุธยา ส่วนองค์ระฆังและส่วนยอดสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ รอบ ๆ องค์พระธาตุพบใบเสมาแกะสลักภาพนูนต่ำเรื่องพุทธประวัติ ชาวบ้านเชื่อกันว่าในองค์พระธาตุบรรจุอัฐิของพระเถระผู้ใหญ่ที่ชาวเมืองเคารพนับถือ สังเกตได้จากเมื่อเมืองเชียงโสมชนะสงคราม ได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองฟ้าแดดแต่ไม่ได้ทำลายพระธาตุยาคู จึงเป็นโบราณสถานที่ยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ชาวบ้านจะจัดให้มีงานประเพณีบุญบั้งไฟเป็นประจำทุกปีในเดือนพฤษภาคม เพื่อเป็นการขอฝนและความร่มเย็นให้กับหมู่บ้าน
จากการตรวจสอบหลักฐานสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยทวารวดีต่อมาคงปรักหักพังไปตามกาลเวลาและเพราะขาดการดูแลเอาใจใส่ ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา คงสร้างเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม ก่ออิฐถือปูนซ้อนทับฐานเดิมและในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์คงมีการสร้างต่อเติมส่วนยอดให้สูงขึ้นอีก จนกระทั่งถึง พ.ศ.๒๕๑๐-๒๕๒๒ กรมศิลปากรได้ทำการขุดแต่งและบูรณะเจดีย์องค์นี้ รวมทั้งได้จดทะเบียนเป็นโบราณสถาน พระธาตุยาคูนี้ชาวบ้านเชื่อกันว่า เป็นเจดีย์ที่บรรจุอัฐิของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ที่ชาวเมืองเคารพนับถือ จึงจัดให้มีเทศกาลบูชาพระธาตุประจำปี ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม เพื่อขอฝนและความสงบร่มเย็นแก่หมู่บ้าน ลักษณะทั่วไป เป็นพระธาตุเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุดในบริเวณเมืองฟ้าแดดสงยาง ก่อด้วยอิฐดินเป็นเจดีย์ทรง ๘ เหลี่ยมย่อมุมไม้ ๑๒ มีขนาดฐานกว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๑๐ เมตร สร้างซ้อนกันในลักษณะเป็นจัตุรมุข มีบันไดทางขึ้น ๔ ทิศ ความสูงวัดจากฐานถึงยอดสูง ๘ เมตร หลักฐานที่พบ เจดีย์ทรง ๘ เหลี่ยม ใบเสมาหินทราย


น้ำตกตาดทอง
น้ำตกตาดทอง ตั้งอยู่บนเส้นทางเขาวง – ดงหลวง – มุกดาหาร ในท้องที่ตำบลหนองผือ อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ น้ำตกแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจหากได้มาเยือนอำเภอเขาวง เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอ สามารถเดินทางไปได้ไม่ยาก โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 2291 ไปทางกิ่งอำเภอนาคูประมาณ 2 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวาตรงสามแยก เข้าเส้นทางหลวงหมายเลข 2287 ผ่านบ้านโพนนาดีไปประมาณ 4.5 กิโลเมตร ก็จะถึงที่หมาย หรือจะใช้บริการรถประจำทางสายกาฬสินธุ์ – เขาวง ลงที่ตลาดสดอำเภอเขาวง แล้วต่อรถสองแถวสายบัวขาว – เขาวง – แก่งนาง ก็ได้เช่นกัน
น้ำตกตาดทอง มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาภูพาน ในเขตอำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เป็นน้ำตกขนาดไม่ใหญ่นัก แต่มีจุดเด่นคือ เต็มไปด้วยโขดหินสลับซับซ้อนดูสวยงามมาก น้ำตกตาดทองมีแอ่งน้ำให้ลงเล่นได้เป็นช่วงๆ ทั้งด้านบนและด้านล่างของน้ำตก ซึ่งเมื่อประกอบกับบรรยากาศของป่าอันอุดมสมบูรณ์ เขียวขจีไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่แล้ว ทำให้น้ำตกแห่งนี้มีผู้คนเดินทางมาเล่นน้ำคลายร้อนอยู่เสมอ ในขณะที่การพักผ่อนหย่อนใจในรูปแบบอื่นๆ อย่างการนั่งรับประทานอาหารกันในครอบครัว หรือการทำกิจกรรมนันทนาการเล็กๆ ในหมู่เพื่อนฝูงบริเวณริมธาร ก็เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน
อย่างไรก็ตาม น้ำตกตาดทองจะมีสายน้ำไหลชุ่มฉ่ำให้สัมผัสกันอย่างจุใจในระหว่างเดือนกรกฎาคม – กันยายน ซึ่งเป็นช่วงหน้าน้ำ ส่วนในช่วงหน้าแล้ง ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม น้ำตกจะมีน้ำน้อยมากหรืออาจไม่มีน้ำเลย จึงไม่ควรมาเที่ยวในช่วงเวลาดังกล่าว




สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)


















